วัสดุปูพื้นบ้าน แบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ
ในปัจจุบันนั้นมีไม้ปูพื้นชนิดต่างๆอยู่มากมาย เเต่ละชนิดนั้นก็มีจุดดีเเละจุดด้อยต่างกันไปการจะตัดสินใจเลือกใช้ก็ควรคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์ในการใช้สอยภายในบ้านของเราด้วย ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงไม้ปูพื้น 9 ชนิดด้วยกัน คือ
1.ไม้ (Solid Wood) หรือไม้จริงทั้งแผ่น โดยชนิดที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปได้แก่ ไม้แดง ไม้มะค่า และไม้สัก มีคุณสมบัติเด่น คือมีความแข็งแรงทนทาน มีสีสันสวยงามเป็นธรรมชาติ และยังสามารถขัดหรือทำสีใหม่ได้อยู่ตลอดแม้ใช้ไปนานวัน ราคาพื้นไม้โดยทั่วไปออกจะแพงไปซักหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกดีมาก ให้ผิวสัมผัสที่ดี ราคาไม้ที่แพงในปัจจุบันเนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่หายากขึ้น แต่ก็มีการใช้วัสดุอื่นมาทดแทนไม้แผ่นส่วนข้อควรระวังของพื้นไม้จะต้องระวังเรื่องความชื้น ถ้าเปียกต้องรีบเช็ดและระวังรอยขีดข่วนอาจเกิดขึ้นง่าย นอกจากนี้อาจมีปัญหาเรื่องการยืดหดตัวด้วย ปัจจุบันการปูพื้นจะปูทับลงไปบนพื้นคอนกรีตเลย ทำให้ไม่มีเสียงดังเวลาเดิน
2. ไม้ปาร์เก้ คือ ชิ้นไม้เล็ก ๆ ที่ทำมาจากไม้จริงนั่นเอง แต่มีขนาดเล็กกว่าไม้พื้นชนิดแผ่นมาก จึงมีราคาถูกกว่า เพราะสามารถใช้เศษไม้ที่เหลือจากการทำไม้แผ่น มีทั้งแบบเข้าลิ้นรอบ และไม่เข้าลิ้น สามารถเลือกรูปแบบลวดลายในการปูได้ พื้นไม้ปาร์เก้นั้น นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งมาทำ เพื่อประโยชน์ด้านความทนทาน และการรองรับน้ำหนัก มักนิยมใช้ไม้แดง ไม้มะค่า และไม้สักมาทำไม้ปาร์เก้ โดยไม้แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป
-ไม้สัก เป็นไม้ที่นิยมนำมาทำไม้ปาร์เก้น้อยกว่าไม้แดงและไม้มะค่ามาก เนื่องจากไม้สักจัดเป็นไม้เนื้ออ่อน ทำให้รับน้ำหนักได้ไม่ค่อยดี และเมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย และยังหายาก และมีราคาสูง แต่ข้อดีของไม้สักที่เหนือกว่าไม้มะค่า และไม้แดงคือ เป็นไม้ที่มีลายไม้สวยงาม ปลวกไม่ขึ้น
-ไม้มะค่า เป็นไม้ที่มีคุณภาพดีที่สุดในการนำมาทำไม้ปาร์เก้ เนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็ง รับน้ำหนักได้ดีมาก ลายไม้สวยงามมองเห็นได้ชัดเจน เนื้อไม้เหนียวไม่เปราะ หรือขยายตัวได้ง่ายๆ คุณสมบัติโดยรวมถือว่าดีกว่าไม้แดงมาก เพราะรับน้ำหนักได้ดีกว่า และไม่ขยายตัวได้ง่ายเหมือนไม้แดง แต่ก็มีราคาสูงกว่าไม้แดงเช่นกัน
-ไม้แดง เป็นไม้ชนิดนึงที่นิยมนำมาทำเป็นไม้ปาร์เก้ เพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง รองรับหน้ำหนักได้ดีไม่ยุบตัวง่าย แต่ก็มีข้อเสียที่สีของไม้ค่อนข้างเข้ม ทำให้มองเห็นลายไม้ไม่ชัดเจน และเนื้อไม้เกิดการขยายตัวได้ง่าย ทำให้ปาร์เก้ไม้แดง เป็นปาร์เก้ที่ราคาไม่สูงนัก
3. ไม้ลามิเนต เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับไม้จริง โดยนำเยื่อไม้มาบดละเอียดและอัดขึ้นมาเป็นแผ่น มีต้นกำเนิดจากประเทศในแถบยุโรป โดยมีประเทศเยอรมนีเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการผลิต เป็นวัสดุปูพื้นที่มาทดแทนไม้ปาร์เก้ และไม้จริง โดยมีข้อดีกว่าด้วยคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นดังนี้
1. เวลาการติดตั้งที่รวดเร็วกว่า
2. ผิวหน้าสามารถทนทาน ต่อรอยขูดขีด แรงกดกระแทกได้ดีกว่า
3. สามารถเลือกสีผิวหน้าให้เป็นลวดลายที่ต้องการได้ ในขณะที่ไม้ปาร์เก้มีตาไม้จริง ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
4. ผิวหน้าไม่ทำให้ลื่นล้ม
5. สามารถทนความร้อนได้ในระดับหนึ่ง ทนต่อสารเคมี และไม่ติดไฟ
6. พื้นไม่เก็บฝุ่นและเชื้อโรค ต่างจากพรม และกระเบื้อง
7. ทำความสะอาดได้ง่าย
8. เหมาะกับการใช้งานในร่ม ที่อยู่อาศัย ร้านค้า ห้องประชุม ทั้งนี้ควรเลือกรุ่นความแข็งแรงให้เหมาะสม
9. สามารถปูซ้ำใหม่ได้ทันทีหากต้องการโยกย้าย
แต่ข้อเสียของพื้นไม้ลามิเนต คือ ไม่สามารถทำการขัดสีผิวหน้าของพื้นไม้ลามิเนตออกแล้วย้อมสีใหม่เหมือนกับไม้ จริง และอายุการใช้งานน้อยเพียง 10-15 ปี
4. กระเบื้องเซรามิค นั้นมีผิวมันเงาและสีสดกว่ากระเบื้องคอนกรีต และด้วยเทคโนโลยีการผลิตกระเบื้องจากวัสดุเซรามิคพร้อมกับเคลือบสีและเผาด้วยอุณหภูมิสูง จึงทำให้กระเบื้องเซรามิคมีความแข็งแกร่งทนทาน น้ำหนักเบา กันน้ำได้ดี ทำความสะอาดง่าย ติดตั้งได้ทั้งภายนอกและภายใน
และในปัจจุบันมีผู้นิยมปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิคส์มากขึ้นเนื่องจากมีลวดลายต่าง ๆ มากมายให้ได้เลือกใช้ ตลอดจนหาซื้อได้ง่าย และต้องพิถีพิถันในการเลือกช่างที่จะมาปูกระเบื้อง ตลอดจนกลเม็ดเทคนิควิธีในการปูกระเบื้อง
ทำให้ปัญหาของการปูกระเบื้องเซรามิคก็คือ กระเบื้องมักขาดตลาดในลายที่ต้องการ และหากเสียหาย แตกหักภายหลัง จะหามาทดแทนไม่ได้ จึงควรเก็บสต็อคกระเบื้องที่ใช้ไว้บ้าง กระเบื้องเซรามิคให้ความรู้สึกค่อนข้างแข็ง และเย็นเท้า จึงไม่เหมาะกับการใช้ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น แต่จะไปใช้ในห้องครัวหรือห้องน้ำมากกว่า
5. กระเบื้องยาง ทำจากยางพีวีซี เปรียบเทียบกับกระเบื้องเคลือบแล้วกระเบื้องยางมีข้อดี คือประหยัดกว่าและให้สัมผัสที่นุ่มนวลกว่า ติดตั้งและปรับเปลี่ยนง่าย ราคาต่ำ แต่ข้อเสียคือ พื้นผิวยางสึกหรอและเป็นรอยขีดข่วนง่าย หลุดล่อนง่ายแต่ก็ซ่อมแซมได้ง่าย อายุใช้งานสั้น พื้นผิวที่จะปูกระเบื้องยางต้องราบเรียบเสมอกัน เพราะกระเบื้องจะเป็นลอนได้ แต่กระเบื้องยางมักไม่นิยมใช้ปูในบ้านเพราะความรู้สึกดูไม่หรูหราภูมิฐาน จะใช้ในสำนักงานมากกว่า
6. พรม เป็นวัสดุปูพื้นที่ให้ความรู้สึก หรูหรา นุ่มนวล สวยงาม ติดตั้งง่าย แต่ดูแลรักษายากและมีอายุการใช้งานสั้นจึงเหมาะสำหรับพื้นที่ต้องการเปลี่ยน บรรยากาศบ่อย ๆ เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องพักผ่อน มีให้เลือกหลายชนิด อาทิ ขนสัตว์ ไนล่อน ใยสังเคราะห์ พรมช่วยดูดซับเสียง เป็นฉนวนชั้นดี ติดตั้งง่าย มีทั้งแบบเป็นผืนใหญ่และแผ่นเล็กที่สะดวกต่อการซ่อมแซมเป็นแผ่นๆไป
หากคิดจะเลือกใช้พื้นพรมในบ้านต้องพึง ระวังไว้ว่า พรมส่วนใหญ่แทบทุกชนิดนั้นเป็นวัสดุที่ติดไฟง่าย เป็นเชื้อไฟได้อย่างดี การปูพรมจึงควรเลือกปูเป็นจุดๆ ในพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามและต้องการเน้นเป็นพิเศษ ไม่ควรปูพรมเป็นพื้นทั่วทั้งบริเวณบ้านเพราะพรมของท่านอาจจะกลายเป็นเชื้อไฟ ได้อย่างดีเมื่อเกิดอัคคีภัย
7. หินอ่อน-หินแกรนิต เป็นหินธรรมชาติ มีความแข็งแรงทนทาน โดยเฉพาะหินแกรนิตจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าหินอ่อน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ดูแลรักษาง่าย ให้ความประณีตสวยงามเนื่องจากแนวเส้นรอยต่อระหว่างแผ่นมีขนาดเล็ก มีสีสันให้เลือกมากมาย ดูหรูหรา เหมาะกับห้องรับแขก หินอ่อนไม่เหมาะกับภายนอก แต่หินแกรนิตปูได้ทั้งภายในและภายนอก
ข้อเสียของวัสดุชนิดนี้ คือมีราคาแพง ให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้างไม่นุ่มนวล เกิดริ้วรอย และเปรอะเปื้อนได้ง่าย และยังมีปัญหาเรื่องความลื่นเมื่อถูกน้ำ
8. หินขัด เป็นวัสดุที่สามารถสร้างลวดลายสีสันได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน ขนาดของหิน และสีที่ผสมลงไป แข็งแรง ทนทานมาก ดูแลรักษาง่าย มีลวดลายในตัวจึงไม่ค่อยสกปรกง่าย สามารถใช้งานทั้งในร่มและงานออกแดด มีลวดลายที่สวยงามตามธรรมชาติเหมาะสำหรับตกแต่งทางเดิน พื้นสวนหรือจะเป็นพื้นในบ้าน
แต่ปัจจุบันตามบ้านเรือนทั่วไปไม่ค่อยนิยมทำพื้นหินขัดกันแล้วเพราะมีวัสดุทดแทนที่ให้ความสวยงามหรูหราและดูมีรสนิยมกว่า สามารถพบเห็นพื้นหินขัดได้ตามห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าต่างๆ เนื่องจากให้ความแข็งแรง ดูแลรักษาง่าย และราคาไม่แพง
9. อีพ็อกซี่ เป็นสารที่ใช้เคลือบผิวพื้นปูนอีกที ปกป้องรักษาพื้นผิวไม่ให้แตกร้าว มีคุณสมบัติพิเศษคือ พื้นไร้รอยต่อ แข็งแกร่งรับน้ำหนักได้ดีทนทานต่อกรด ด่าง และสารเคมีทุกชนิด ปราศจากฝุ่น ทำความสะอาดง่าย ไม่เป็นเชื้อรา มีหลายสีให้เลือกและทำผิวได้หลายแบบทั้ง ผิวเรียบมัน ผิวหยาบ ผิวมันเงาและผิวด้าน มักใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดิบ เท่ห์ ปัจจุบันก็มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นทั้งในบ้านและสำนักงาน
รูปภาพ Cr:http://www.zynekcctv.com,http://www.bestartisticinteriors.com
เนื้อหา Cr:https://www.hunsa.com